พริก ชื่อวิทยาศาสตร์ : Capsicum frutescens L. พริก ภาษาอังกฤษ : Chili, Chilli Pepper แต่ถ้าเป็นพริกขนาดใหญ่ๆที่มีรสอ่อนๆเราจะเรียกว่า Bell Pepper,
Pepper, Paprika, Capsicum เป็นต้น
โดยมีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้
มีการนำเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นแล้ว
ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ “แคปไซซิน” (Capsaicin) ซึ่งจะมีอยู่มากใยบริเวณเยื่อแกนกลางสีขาว
(คือส่วนเผ็ดมากที่สุด) ส่วนเปลือกและเมล็ดนั้นจะมีสารนี้น้อย
ซึ่งคนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าส่วนเมล็ดและเปลือกคือส่วนที่เผ็ดที่สุด และสารชนิดนี้จะทนทานต่อความร้อนและความเย็นอย่างมาก
แม้จะนำมาต้มให้สุดหรือแช่แข็งก็ไม่ได้ทำให้สูญเสียความเผ็ดไปแต่อย่างใด
โดยเราสามารถเรียงลำดับความเผ็ดของพริกจากมากไปหาน้อยได้ คือ พริกขี้หนู
> พริกเหลือง > พริกชี้ฟ้า > พริกหยวก > พริกหวาน เป็นต้น
หน่วยวัดความเผ็ดเดิมคือ สโควิลล์ (Seoville) (เป็นคำที่ตั้งขึ้นตามชื่อผู้คิดค้นวิธีการวัดระดับ
ซึ่งก็คือ วิลเบอร์ สโควิลล์ นักเคมีชาวอเมริกัน)
โดยพริกขี้หนูสวนบ้านเราจะมีค่าอยู่ที่ 50,000-100,000 สโควิลล์
ส่วนพริกที่ได้รับการบันทึกลงในกินเนสส์บุ๊กว่าเผ็ดที่สุดในโลกก็คือ พริกฮาบาเนโร
วัดค่าได้ถึง 350,000 สโควิลล์หรือมากกว่า
ประโยชน์ของพริกนั้นมีมากมาย
เพราะอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ อย่าง วิตามินเอ วิตามินบี6 วิตามินซี ธาตุแมกนีเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุเหล็ก ใยอาหาร เป็นต้น โดยในพริก 100 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 144 มิลลิกรัมเลยทีเดียว !
หากต้องการลดความเผ็ดร้อนของพริกคุณควรรับประทานอาหารที่มีไขมันหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มากกว่าที่จะดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำจะมีผลเพียงแค่ช่วยให้บรรเทาอาการแสบร้อนได้เท่านั้น
แต่ความเผ็ดยังคงอยู่ สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร
ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานพริกเพราะอาจจะทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหารได้
และสำหรับเด็กและผู้สูงอายุที่มักจะสำลักง่ายก็ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานเช่นกัน และควรจะระวังพริกป่นตามร้านอาหาร พริกซองที่อาจจะมีสารอะฟลอทอกซินปนอยู่
ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา หากร่างกายได้รับอย่างต่อเนื่องอาจจะเกิดการสะสมจนกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด
ดังนั้นควรเลือกรับประทานพริกป่นที่สะอาด ไม่มีเชื้อราและเปลี่ยนบ่อยๆทุกๆ 3
วันพร้อมทั้งการจัดเก็บในภาชนะที่แห้งและสะอาด
ประโยชน์ของพริก
พริก มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย
ช่วยให้อารมณ์ดี ทำให้ร่างกายสร้างสาร
Endorphin (สารแห่งความสุข)
ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงมากยิ่งขึ้น
วิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนในร่างกาย
ช่วยในการบำรุงและรักษาสายตา
ช่วยกระตุ้นให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น
สารแคปไซซินช่วยให้เกิดอาการตื่นตัวของร่างกาย
ช่วยในการดีท็อกซ์ของร่างกาย
พริกช่วยบรรเทาอาการไข้หวัด ลดน้ำมูก
และลดเสมหะ
ช่วยบรรเทาอาการไอ
ช่วยลดสารที่มากีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากการเป็นไข้หวัด
ไซนัสหรือโรคภูมิแพ้ต่างๆ
ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด
หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น
ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง
และความเผ็ดของพริกมีส่วนช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งได้
ช่วยลดปริมาณสารคอเลสเตอรอลในร่างกาย
ทำให้ปริมาณของไตรกลีเซอไรด์ในกระเลือดลดลง
ช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด
เส้นเลือดสมองอุดตัน
ช่วยในการสลายลิ่มเลือด
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจล้มเหลว
ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของหลอดเลือดให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยลดความดันโลหิต
ช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรง
ช่วยเพิ่มการยึดตัวของผนังหลอดเลือด
ช่วยขยายเส้นโลหิตในลำไส้และกระเพาะอาหารเพื่อการดูดซึมอาหารที่ดีขึ้น
สาร Capsaicin
ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร
ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายของเสียและนำธาตุอาหารไปยังเนื้อเยื่อในร่างกาย
ช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย
ขับแก๊สในกระเพาะ
มีส่วนช่วยในการขับปัสสาวะ
ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆในบริเวณจมูก
ลำคอ ปอด เยื่อบุผนังช่องปาก
ช่วยไม่ให้เมือกเสียๆ
มาจับตัวกันภายในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายด้วย
สรรพคุณพริกช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดต่างๆ
เช่น อาการปวดฟัน เจ็บคอ การอักเสบของผิวหนัง อาการปวดศีรษะ ปวดเส้นเอ็น โรคเกาต์
ข้อต่ออักเสบ เป็นต้น
พริกช่วยกระตุ้นให้อยากอาหารมากขึ้น
ใช้ในการประกอบอาหาร ปรุงแต่งอาหาร
นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ
เช่น พริกแห้ง พริกป่น พริกดอง ซอสพริก เครื่องแกง น้ำพริกต่าง ๆ และผลิตภัณฑ์ยารักษาโรค
รวมไปถึงอาวุธป้องกันตัวอย่างสเปรย์พริกไทย (ไม่ถือว่าเป็นอาวุธร้ายแรง)
ในด้านการแพทย์แผนจีนนำสารนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อบำรุงพลังหยาง
ในด้านการแพทย์ได้มีการสกัดเอาสารแคปไซซินในพริกออกมาในรูปแบบครีมหรือเจล
ใช้ทาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวดที่ผิวหนัง เช่น ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก งูสวัด เป็นต้น
ในด้านความงามจะใช้สารสกัดจากแคปไซซินมาสกัดเป็นเจลเพื่อใช้ในการนวดลดเซลลูไลท์
สลายไขมัน
แหล่งอ้างอิง : วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://en.wikipedia.org/wiki/Chili_pepper
No comments:
Post a Comment