Tuesday, February 25, 2014

หอมหัวใหญ่


 
หอมหัวใหญ่
หอมใหญ่ ภาษาอังกฤษ Onion หอมหัวใหญ่ ชื่อวิทยาศาสตร์ Allium cepa Linn. จัดอยู่ในวงศ์ Amaryllidaceae[1] เช่นเดียวกันกับหอมแดง กระเทียม กุยช่ายพลับพลึงขาว พลับพลึงแดง พลับพลึงตีนเป็ด และว่านสี่ทิศ (บางตำราระบุว่าอยู่ในวงศ์ Liliaceae)[3]
หอมใหญ่ ยังมีชื่อเรียกที่เรียกตามความคุ้นเคยอื่นๆ อีกเช่น หัวหอม หอมหัวใหญ่หัวหอมใหญ่ หอมฝรั่ง หอมหัว เป็นต้น โดยหอมใหญ่นั้นมีถิ่นกำเนิดและมีเขตการกระจายพันธุ์ในทวีปเอเชียกลาง[3] บ้างก็บอกว่ามีถิ่นกำเนิดในทวีปเอเชียตะวันตกเฉียงใต้[8] และสำหรับแหล่งผลิตที่สำคัญได้แก่ประเทศจีน สหรัฐอเมริกา และประเทศอินเดีย[3]
ลักษณะหอมหัวใหญ่
ต้นหอมใหญ่ จัดเป็นพืชล้มลุก มีความสูงประมาณ 30-40 เซนติเมตร มีหัวอยู่ใต้ดินคล้ายหัวหอม ลักษณะกลมป้อม มีเปลือกนอกบางๆ สีม่วงแดงหุ้มอยู่ แต่เมื่อแห้งแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล[2],[4] ลำต้นใต้ดินหรือที่เรียกว่าหัวนั้น ภายในจะมีกลีบสีขาวอวบหุ้มซ้อนกันอยู่เป็นชั้นๆ ทำให้มีลักษณะเป็นหัวเช่นเดียวกับกระเทียมและหอมแดง[3] สามารถปลูกได้ในดินทุกชนิดที่มีการระบายน้ำและมีอากาศดี เจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีค่าความกรดเบสในช่วง 6.0-6.8 มีความเค็มของดินปานกลาง และในอุณหภูมิที่เหมาะสม คือ 15-24 องศาเซลเซียส[1]

ใบหอมใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นกระจุก 3-4 ใบ ลักษณะเป็นรูปดาบ มีความกว้างประมาณ 2-4 เซนติเมตร และยาวประมาณ 2040 เซนติเมตร เส้นใบจีบตามยาวลักษณะคล้ายพัด[2]
  
ดอกหอมใหญ่ ออกดอกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากลำต้นใต้ดิน กลีบดอกมีสีขาว[2]
หัวหอม ไม่ใช่เป็นแค่ผักธรรมดาทั่วไปที่นำมาใช้ในการประกอบอาหารหรือเพื่อเพิ่มรสชาติให้อาหาร และก็ไม่ได้ใหญ่แต่ชื่อและขนาด เนื่องจากมีสรรพคุณที่ใหญ่มากเพราะช่วยป้องกันและรักษาโรคสำคัญต่างๆ ได้หลายชนิด โดยพบว่าหัวหอมใหญ่นั้นอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเรามากกว่า300 ชนิด[6]
คุณค่าทางโภชนาการของหอมหัวใหญ่ ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 40 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 9.34 กรัม
น้ำตาล 4.24 กรัม
เส้นใย 1.7 กรัม
ไขมัน 0.1 กรัม
โปรตีน 1.1 กรัม
น้ำ 89.11 กรัม
วิตามินบี1 0.046 มิลลิกรัม 4%
วิตามินบี2 0.027 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี3 0.116 มิลลิกรัม 1%
วิตามินบี5 0.123 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี6 0.12 มิลลิกรัม 9%
วิตามินบี9 19 ไมโครกรัม 5%
วิตามินซี 7.4 มิลลิกรัม 9%
ธาตุแคลเซียม 23 มิลลิกรัม 2%
ธาตุเหล็ก 0.21 มิลลิกรัม 2%
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.129 มิลลิกรัม 6%
ธาตุฟอสฟอรัส 29 มิลลิกรัม 4%
ธาตุโพแทสเซียม 146 มิลลิกรัม 3%
ธาตุสังกะสี 0.17 มิลลิกรัม 2%
ธาตุฟลูออไรด์ 1.1 ไมโครกรัม
% ร้อยละของปริมาณแนะนำที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันสำหรับผู้ใหญ่ (ข้อมูลจาก : USDA Nutrient database)
สรรพคุณหอมหัวใหญ่
หัวหอมใหญ่มีวิตามินซีสูง และยังมีสารอื่นๆ เช่น สารเคอร์ซีทิน ที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายและช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดี[2],[4],[5]
ช่วยป้องกันและยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งต่างๆ ได้ เนื่องจากหอมใหญ่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก[5]
หัวหอมมีคุณสมบัติช่วยทำให้เกิดความรู้ผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกง่วง ช่วยในการนอนหลับได้สบาย[5]
การรับประทานหัวหอมสดเป็นประจะจะช่วยทำให้มีความจำที่ดีขึ้น หรือจะทานร่วมกับอาหารชนิดอื่นๆ ก็ได้[6]
สรรพคุณของหอมหัวใหญ่ ช่วยทำให้เจริญอาหาร[4],[5]
ช่วยทำให้พลังลงสู่ด้านล่าง ช่วยให้พลังการไหลเวียนในอวัยวะภายในร่างกายคล่องตัว[8]
สรรพคุณของหอมใหญ่ ช่วยแก้ธาตุในร่างกายไม่เป็นปกติ[4],[5]
ช่วยกำจัดสารตะกั่วและโลหะหนักที่ปนเปื้อนมากับอาหารและสะสมในร่างกาย[5],[8]
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ[4],[5]
ช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงของอัมพาตได้เป็นอย่าง[5]
หัวหอมมีฤทธิ์ช่วยรักษาโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โดยช่วยลดปริมาณของไขมันในเส้นเลือดและช่วยในการขยายหลอดเลือด ช่วยทำให้เลือดไม่แข็งตัวไปแล้วไปอุดตันในหลอดหลอดได้ง่าย[5]
สารไซโคลอัลลิอินในหัวหอมใหญ่ ช่วยในการสลายลิ่มเลือด ป้องกันไม่ให้ลิ่มเลือดอุดตันหรือยับยั้งการรวบตัวกันของเกล็ดเลือด ปกป้องหลอดเลือดเลี้ยงสมองเกิดการอุดตันและช่วยกระจายเลือดลม[4],[5],[6] การรับประทานเป็นประจำในระยะยาวจะช่วยทำให้หลอดเลือดสะอาด และลดการแข็งตัวของหลอดเลือด[8]
หอมหัวใหญ่ลดความอ้วน โดยน้ำคั้นจากหัวหอมมีสรรพคุณช่วยลดคอเลสเตอรอล ลดไขมันในเส้นเลือด[2],[4],[5]
ช่วยลดการเป็นพิษต่อเซลล์ไขมันในเลือดชนิดเลว ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) และช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยหัวหอมสดแค่เพียงครึ่งหัวก็สามารถช่วยเพิ่มระดับไขมันดีได้ถึงร้อยละ 30 ในผู้ป่วยโรคหัวใจหรือผู้มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอล (ข้อมูลจาก : ดร.วิคเตอร์ เกอร์วิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ในอเมริกา)[5],[6]
ช่วยลดความดันโลหิต แก้ความดันโลหิตสูง[2],[4]
สารอัลลิลโพรพิลไดซัลไฟด์ (Allyl propy disuldhide หรือ APDS) ในหอมใหญ่ มีคุณสมบัติช่วยลดน้ำตาลในเลือด ช่วยป้องกันและรักษาโรคเบาหวาน[2],[4],[5],[6]
หัวหอมใหญ่มีสารฟลาโวนอยด์ ไกลโคไซด์ (Flavonoid glycosides) ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันไขมันไม่ให้มาเกาะตามผนังหลอดเลือด ถ้าหากเกาะมากๆ จะเกิดภาวะเส้นโลหิตอุดตัน หรือทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดได้[6]
แคลเซียมในหอมใหญ่จะช่วยในการสังเคราะห์เอนไซม์ที่เป็นตัวช่วยต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตแปลกปลอมและช่วยเม็ดเลือดขาวในการทำลายและย่อยสลายไวรัส[6]
หอมหัวใหญ่สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ดีกว่ายารักษาโรคกระดูกพรุนอย่างแคลซิโทนิน (Calcitonin) แต่นักวิจัยระบุว่าอาจจะต้องกินหอมใหญ่วันละ 200-300 กรัมจึงจะได้ผล (ผลการวิจัยจากวารสารวิชาการ “Nature”)[6] จึงเหมาะอย่างมากสำหรับใช้กับตรีในช่วงวัยหมดประจำเดือน[8]
ช่วยรักษาไข้หวัด แก้หวัดคัดจมูก และช่วยลดน้ำมูก ด้วยการนำหัวหอมขนาดพอดีที่ปอกเปลือกแล้วมาทุบให้แหลก แล้วใส่ลงไปในแก้วที่ใส่น้ำร้อนรอไว้ จากนั้นให้ใช้ผ้าขาวบางมาปิดหุ้มปากแก้วไว้ แล้ววางไว้ใกล้ๆ ตัวในตำแหน่งที่ไอของความร้อนจะรอยเข้าสู่จมูกได้ ซึ่งในช่วงที่น้ำกำลังร้อนจะมีไอน้ำที่ผสมกับกลิ่นหัวหอมลอยขึ้นมา ก็ให้พยายามสูดไอนั้นเข้าไป จะช่วยแก้อาการังกล่าวได้[4],[5]
สรรพคุณหอมใหญ่ ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ หอมหืด[4],[5]
สารอัลลิลิกไดซัลไฟด์ ในหอมใหญ่มีสรรพคุณช่วยขับเสมหะได้[6]
ธาตุแมกนีเซียมในหอมใหญ่มีคุณสมบัติช่วยทำลายเซลล์มะเร็งและช่วยกำจัดไวรัส[6]
ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้[4],[5]
ช่วยป้องกันมะเร็งตับ[4],[5]
หอมหัวใหญ่ สรรพคุณช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ[4],[5]
สรรพคุณทางยาของหอมหัวใหญ่ ช่วยแก้ท้องร่วง[4],[5]
หอมใหญ่ สรรพคุณช่วยขับพยาธิ[4],[5]
ช่วยในการขับปัสสาวะ (สารอัลลิลิกไดซัลไฟด์)[4],[5],[6]
หัวหอมใหญ่ สรรพคุณช่วยแก้ลมพิษ[4]
หอมใหญ่ สรรพคุณทางยาลดอาการปวดอักเสบ[4]
หอมหัวใหญ่ มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อโรค[4],[5]
น้ำมันหอมหัวใหญ่มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางประเภทได้[5]
น้ำคั้นจากหัวหอม ช่วยรักษาผิวหนังที่ถูกน้ำร้อนลวกได้[6]
หัวหอม สรรพคุณช่วยแก้บวม แก้ปวด[4] อาการบวมจากพิษ โดยใช้เป็นยาทาภายนอก[8]
หัวหอมใช้ นำมาตำใช้พอกแก้แผลช้ำบวม แก้ฝีได้[7]
หัวหอมนำมาตำให้แหลกใช้ผสมกับเหล้าโรง แล้วนำมาพอกหรือทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อย จะช่วยลดอาการเจ็บปวดได้เป็นอย่างดี[5]
น้ำคั้นจากหัวหอมสามารถนำมาใช้ทาภายนอกเพื่อช่วยอาการปวดตามข้อได้[6]
ประโยชน์ของหอมหัวใหญ่
ประโยชน์หอมหัวใหญ่ หัวใช้รับประทานเป็นผัก หรือนำมาใช้ปรุงอาหาร หรือใช้เป็นเครื่องเทศเพื่อช่วยดับกลิ่นคาวในอาหารได้เป็นอย่างดี[3]
ช่วยทำให้กระดูกอ่อนนุ่ม เมื่อนำมาใช้ต้มกับกระดูกสัตว์[8]
น้ำมันหอมระเหยจากหัวหอม สามารถนำมาใช้ทาสิวอักเสบเพื่อช่วยลดการอักเสบได้[5]
ประโยชน์หัวหอมใหญ่ช่วยรักษาฝ้า ตามตำราฝรั่งใช้หอมหัวใหญ่นำมาดองกับไวน์แล้วแช่ทิ้งไว้สักเดือน แล้วใช้น้ำที่แช่มาทาเพื่อรักษาฝ้า เห็นว่าได้ผล[5]
ประโยชน์ของหัวหอม กับการนำมาสกัดทำเป็นเครื่องสำอางบางชนิด เช่น ยาสระผม ยาบำรุงเส้นผม เนื่องจากมีสารเพคติน กลูโดคินิน และไกลโคไซด์ ที่จะช่วยขจัดรังแคที่เกิดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราต่างๆ ได้[5]
เมนูหอมใหญ่ เช่น ผัดหัวหอมใหญ่ ไข่เจียวหอมใหญ่ หัวหอมใหญ่ทอด เนื้อผัดหอมหัวใหญ่ หมูผัดพริกสดใส่หอมใหญ่ ข้าวไก่อบหอมใหญ่ ซุปหอมหัวใหญ่ ยำเห็ดหอมใหญ่ เป็นต้น
คำแนะนำและข้อควรรู้
หอมหัวใหญ่มีฤทธิ์อุ่น ให้รสเผ็ดร้อน ไม่มีพิษ เข้าเส้นลมปราณ ปอดและกระเพาะอาหาร โดยหอมใหญ่ดิบจะมีฤทธิ์สุขุม ส่วนหอมใหญ่สุกจะมีฤทธิ์อุ่น[8]
แม้หัวหอมใหญ่จะเป็นผักที่มีกลิ่นฉุนมาก จนทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากรับประทาน หรือหันไปรับประทานแบบชุบแป้งทอด การเจียว หรือการใช้ในการปรุงแต่งอาหารอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามถ้าอยากจะรับประทานแบบให้ได้ประโยชน์ต่อสุขภาพจริงๆ แนะนำว่าให้รับประทานแบบสดๆ จะดีที่สุด[5] ตอนเด็กๆ ผู้เขียนก็ไม่ชอบเช่นกันครับ แต่ปัจจุบันถ้ามีโอกาสก็กินหมดเลยครับ
การรับประทานหัวหอมใหญ่แบบสด (หรือรับประทานร่วมกับอาหารอื่นๆ) เพียงวันละครึ่งหัวถึงหนึ่งหัว เป็นเวลา 2 เดือนก็จะเห็นผลต่อสุขภาพโดยภาพรวมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่มีระดับคอเลสเตอรอลสูง[6]
วิธีการเลือกซื้อหัวหอมใหญ่ ให้มีคุณภาพดีต้องสังเกตดังนี้ มีผิวแห้งและเรียบ หัวมีน้ำหนักมากเนื้อแน่น ไม่มีส่วนที่นิ่มหรือมีรอยช้ำ ซึ่งจะช่วยทำให้เก็บหอมใหญ่ไว้ได้นานขึ้นนั่นเอง[5]
วิธีซอยหอมไม่ให้แสบตา มีหลายวิธี เช่น เมื่อปอกเปลือกเสร็จแล้วให้ใช้มีดจิ้มให้รอบหัว แล้วนำลงแช่ในน้ำเปล่าไว้สักครู่ หลังจากนั้นค่อยนำไปหั่น หรืออีกวิธีก็ให้นำหัวหอมใหญ่ไปแช่เย็นประมาณ 15 นาที ก่อนที่จะนำมาหั่น ทั้งสองวิธีดังกล่าวนี้ สามารถช่วยลดอณูซึ่งประกอบไปด้วยซัลเฟอร์หรือกำมะถันไม่ให้เกิดการฟุ้งกระจาย ทำให้ปฏิกิริยาต่างๆ ช้าลงได้ จึงช่วยป้องกันและลดการระคายเคืองและอาการแสบร้อนในตาได้[3],[5]
วิธีการเก็บรักษาหอมหัวใหญ่ วิธีการยืดอายุและการเก็บหอมหัวใหญ่ ก็มีหลายวิธี เช่น การนำหอมใหญ่มาใส่ในถุงกระดาษสีน้ำตาลแล้วพับปิดปากถุง หรืออีกวิธีให้ใช้กระดาษนำมาห่อหัวหอมใหญ่เป็นลูกๆ และใส่ถึงพลาสติกอีกชั้นหนึ่ง หรืออีกวิธีก็คือให้ใช้กระดาษฟอยล์ในการห่อหัวหอมใหญ่ ก่อนการนำมาแช่ในตู้เย็น ก็จะช่วยทำให้คงความสดความกรอบและทำให้ผิวหัวหอมไม่ช้ำอีกด้วย[5]
ข้อควรระวัง
สมุนไพรหอมใหญ่ แม้ว่าสรรพคุณหัวหอมใหญ่จะมีอยู่มากมาย แต่เนื่องจากหอมใหญ่เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์อุ่นและมีรสเผ็ด การนำมาใช้ในแต่ละบุคคล ควรคำนึงถึงสภาพร่างกายและโรคของผู้ป่วยด้วย ซึ่งฤทธิ์ดังกล่าวสามารถช่วยขับความเย็น ทำให้หยางทะลุทะลวงไปยังส่วนต่างๆ ช่วยกำจัดพิษและปัจจัยที่กระทบจากภายนอกเนื่องจากความเย็นได้ดี แต่ไม่มีฤทธิ์ในการบำรุงหยางในร่างกาย เมื่อใช้ไปนานๆ อาจจะทำให้ร่างกายเสียพลังได้ง่าย เช่น ในกรณีผู้ป่วยหอบหืดที่มีพลังอ่อนแออยู่แล้ว แทนที่จะมีอาการหอบดีขึ้น แต่กลับจะทำให้อาการหอบหืดกำเริบมากขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น ดังนั้นจึงควรรู้ถึงข้อดีและข้อเสียเพื่อนำไปปรับใช้ได้อย่างเหมาะสมด้วย จึงจะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสูงสุด[8]
การรับประทานหัวหอมใหญ่ในปริมาณมากหรือรับประทานติดต่อกันนานเกินไป อาจจะทำลายจิตประสาท ทำให้จิตฟุ้งซ่าน ทำให้ลืมง่าย ความจำเสื่อม มีอาการตามัว พลังและเลือดถูกทำลายทำให้เส้นเลือดไหลเวียนได้ไม่ดี ทำให้โรคต่างๆ ที่เป็นอยู่หายช้าและเรื้อรัง และยังไปทำลายสมรรถภาพทางเพศ[8]
เมื่อคุณมีอาการปวดศีรษะเนื่องจากความเครียด หรือจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ มีคำแนะนำว่าไม่ควรจะรับประทานหัวหอมใหญ่(ข้อมูลจาก : คุณหมอบุชฮอล์ มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์)[5]
อย่างไรก็ตามก็ไม่ควรรับประทานหัวหอมใหญ่สดในขณะที่ท้องว่าง เพราะอาจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง ทำให้เยื่อบุในกระเพาะเกิดการอักเสบได้[6]
สำหรับผู้ที่ถูกสัตว์มีพิษมีเคี้ยวกัด ไม่ควรรับประทานหอมใหญ่ เพราะการรับประทานหัวหอมใหญ่จะทำให้มีอาการรุนแรงขึ้น ทำให้พิษแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว[8]
สิ่งที่คุณควรรู้อีกเรื่องนั้นก็คือ หอมใหญ่ เป็นหนึ่งในอาหารที่มีกลิ่นแรง และทำให้เกิดกลิ่นปาก (กินแล้วอย่าลืมบ้วนปากแปรงฟันด้วยนะครับ)[5]
สำหรับผู้ที่มีกลิ่นตัวแรงอยู่แล้ว การรับประทานหัวหอมใหญ่มากเกินไป อาจจะทำให้มีกลิ่นตัวแรงยิ่งขึ้น[6]
ว่ากันว่าในช่วงเดือนสี่ (ฤดูใบไม้ผลิ) ไม่ควรรับประทานหอมหัวใหญ่ เพราะจะทำให้อาการหอบหืดรุนแรงมากขึ้น[8]
แหล่งอ้างอิง
วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.  [9 ต.ค. 2013].
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ .  ”พืชเครื่องเทศ”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [9 ต.ค. 2013].
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.sc.mahidol.ac.th.  [9 ต.ค. 2013].
ศูนย์ข้อมูลกลางทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม. “สมุนไพรพื้นบ้านหัวหอมใหญ่”.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.m-culture.in.th.  [9 ต.ค. 2013].
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.thaihealth.or.th.  [9 ต.ค. 2013].
ผู้จัดการออนไลน์.  ”หอมใหญ่ ยาครอบจักรวาลประจำบ้าน”.  อ้างอิงใน: หนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 117.  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.manager.co.th.  [9 ต.ค. 2013].
สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (ACFS).  ”หอมใหญ่ดีป้องกันมะเร็งได้”.  [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.acfs.go.th.  [9 ต.ค. 2013].
มูลนิธิหมอชาวบ้าน.  นิตยสารหมอชาวบ้าน คอลัมน์: แพทย์แผนจีน เล่มที่ 321.  ”หอมหัวใหญ่”.  โดย: นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: www.doctor.or.th [

No comments:

Post a Comment